Paisee' Blogs

Just another WordPress.com weblog

ห้องนี้ของพี่ใหญ่ โดยนิติพงษ์ ห่อนาค

ห้องนี้ของพี่ใหญ่
โดย นิติพงษ์ ห่อนาค

         เรวัต พุทธินันทน์  ชื่อนี้เป็นชื่อของพี่เต๋อของผมและพี่เต๋อของอีกหลาย ๆ คนจำนวนนับพันนับร้อย นับแสนนับล้าน หลาย ๆ คนรักพี่เต๋อมากโดยเฉพาะสื่อมวลชนหลายแขนง ถึงกับขนานนามใหม่ต่าง ๆ นานาเช่น เรวัติ พุทธินันท์ บ้าง เรวัตร พุฒินันทน์ บ้าง หลายครั้งก็มีมากกว่านี้ ที่สะกดชื่อพี่เต๋อได้อย่างพิสดารพันลึก แม้กระทั่งคนภายในบริษัทแกรมมี่เองก็ตั้งชื่อใหม่ให้พี่เต๋ออยู่บ่อย ๆ จนแทบจำไม่ได้แน่ว่า ชื่อพี่เต๋อจริง ๆ นั้น เขียนว่าอย่างไร

         เรวัต พุทธินันทน์ มึงจำไว้ ถ้าพวกมึงเขียนชื่อกูผิด แล้วกูคงไม่มีหวังจะให้ใครเขียนชื่อกูถูกเรวัต ไม่มีสระอิพุทธินันทน์ สะกดแบบพุทธะ นัน มีทอ นอขอให้จำแค่นั้นพอ

         เรวัต พุทธินันทน์ชื่อนี้ผมได้เห็นครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ ตอนประมาณผมอยู่ปีหนึ่งที่สถาปัตย์ ลาดกระบัง อายุประมาณสิบเจ็ด เวลาประมาณพ.ศ.2520 ขณะนั้นผมเริ่มหัดเล่นกีตาร์ได้สองปีเล่นฆ้องวงได้สามปี และเล่นระนาดได้สี่ปี ผมรับรู้เรื่องราว ความเป็นไปของวงดิอิมพอสสิเบิลมาตลอดทางรู้ว่า คอร์ดของพี่ ๆ นี่จับบนคอกีตาร์ยากชิบฮ๋าย เพิ่งเรียนรู้คอร์ดซี เอไมเนอร์ เอฟ จีเซเว่น มาปีเดียว ต้องมานั่งพยายามจับคอร์ด ดิมินิช ออกเมนเตด บวกสิบเอ็ด บวกสิบสามเล่นไปโกรธไป แต่พอเล่นตามได้แล้วเสียงเหมือนก็ดีใจเกือบต้องฉลองกับเพื่อน พี่ปราจิณ ทรงเผ่าครับ พี่ทำบาปไว้กับพวกเด็กๆ อย่างเราสมัยนั้นไว้เยอะนะ แต่เป็นบาปฉาบบนกองบุญอันใหญ่หลวงนัก

         เมื่อเวลาเปลี่ยนที ่อิมพอสสิเบิลต้องเปลี่ยนมีชื่อคนใหม่เข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรวัต พุทธินันทน์ ซึ่งเข้ามาร้องเพลงฝรั่ง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ผมได้เห็นชายหนุ่มร่างเท่ ผมยาว ไว้หนวด ร้องเพลงฟังกี้ เล่นคีย์บอร์ด กลายเป็นอีกยุคหนึ่งของอิมพอสสิเบิ ล ช่วงต่อกับเดอะ ฮอท เปปเปอร์ ตามข่าวอยู่ตลอดว่า พากันไปเล่นอวดฝีมือกันที่เมืองฝรั่งมังค่า ฮาวาย ยุโรป เป็นที่ภูมิใจกับเด็ก ๆ จำนวนมากที่ใส่ใจเรื่องราว สู่ยุคโอเรียนเต็ล ฟังก์ ที่เรวัต เริ่มมีบทบาทเล่นเพลงที่คนไทยเข้าใจน้อย แต่มีการพัฒนามาก ตามโรงแรมหรู ๆ ต่าง ๆ ผมก็ยังห่างไกล ไม่มีตังค์ไปดูแน่นอน

         มีบางครั้งที่เห็น เรวัต ไปเล่นอย่างอื่นนอกจากดนตรี เช่น ละครทีวี หนังใหญ่ ผมเคยดูทีวียังจำติดตา ทางช่องสาม ชื่อเรื่อง สงครามพิศวาส หรือ อะไรทำนองนี้ นางเอกคือ คุณภัทราวดี ศรีไตรรัตน์ (ขณะนั้น) เป็นฉากกำลังแนะนำตัวละครคนใหม่ ในบท นางเอกก็พูดประมาณว่า ” ฉันได้เจอชายคนหนึ่ง ซึ่งเวลาเขายิ้ม เขายิ้มทั้งใบหน้า สายตาก็ยิ้มไปด้วย “จากนั้นกล้องก็ตัดไปยังที่ เรวัต ยืมยิ้มเผล่ ตาหยี ตอนนั้นในใจผมหัวเราะก๊าก โธ่ นึกว่าใคร อีตาเต๋อนี่เอง จากนั้นมา ผมก็ไม่ได้เห็นคนชื่อเรวัต ทำอะไรให้ประชาเยาวชนอย่างผมเห็นอีกมากนัก มีโผล่มาครั้งหนึ่ง จากหนังเรื่องเพื่อน หรือไง ผมจำไม่ได้ ( ผมกำลังหัดเป็นอัลไซเมอร์อยู่) จนมาถึงเรื่องน้ำพุที่แสดงเป็นน้าแพ็ท ในเวลานั้นผมกำลังถามตัวเอง ส่งต่อไปถึงชายคนที่ชื่อเรวัต ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่

         ไม่กี่ปีนักต่อจากนั้นปีที่ผมและเพื่อน ๆ อยู่ประมาณปีสี่ สถาปัตย์จุฬาฯ ผมอายุได้ยี่สิบเอ็ดปี เวลาประมาณพ.ศ.2524 ผมก็ได้รู้จักเรวัต พุทธินันทน์ และเปลี่ยนวิธีการเรียกจากเต๋อเฉย ๆ แบบคนไม่รู้จัก มาเป็นพี่เต๋อพรรคพวกเรา ขี้เมาทั้งหลาย เริ่มทำงานได้ มีตังค์บ้าง ก็เริ่มเที่ยว แต่ที่ที่ต้องไปเที่ยวไปฟังเพื่อสนองฝันให้ได้ นั่นคือ โรงแรมมณเฑียร สุริวงศ์ เพราะเรารู้กันว่า มีวงในฝันของเราเล่นอยู่หลายวงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอเรียนเต็ล ฟังก์และพรรคพวกเรา ขี้เมาทั้งหลาย ที่เริ่มทำงานนั้น ก็เพราะไปเขียนบท เสนอความคิดสร้างสรรค์ในรายการทีวีบางรายการ จนได้เงินเดือนเป็นกอบเป็นกำ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่จบการศึกษาหนึ่งในความคิดเหล่านั้น คือเอา เรวัตในฝันของเรามาออกโชว์ในรายการโชว์คั่นเกมโชว์

         ผมจำไม่ได้แน่ว่า ผมรู้จักเรวัตให้เป็นพี่เต๋อ เพราะเหตุที่เราไปเที่ยวโรงแรมมณเฑียร หรือ เพราะพี่เต๋อมาเล่นรายการของเรากันแน่เพราะมันใกล้เคียงกันนักจำได้เพียงแต่ว่า ถ้านึกถึงที่โรงแรมมณเฑียร ก็จะนึกถึงตอนที่พวกเรานั่งกินเหล้ากันอยู่ บนโต๊ะใดโต๊ะหนึ่ง นั่งดูโอเรียลเต็ลฟังก์เล่นมีพี่ป้อมอัสนีเล่นกีตาร์นำ พี่ฑูรย์เล่นเบส และพี่อีกหลายพี่ที่เล่น ผมก็จะเขียนขอเพลง ไอ วอส ออนลี่ โจ๊กกิ้งของร๊อด สจวร์ต ให้พี่เต๋อร้อง เพราะผมชอบช่วงที่กีตาร์โซโล่ของเพลงนี้ด้วยแล้วพี่เต๋อก็จะต้องร้องเพลง ไอ ดอนท์ วอนท์ ทู ทอล์ค อะเบาท์ อิท ทุกคืน เพราะมีคนขอทุกคืนเหมือนกัน (ซึ่งภายหลังพี่เต๋อบอกว่าเบื่อมากร้องเพลงนี้ไม่ต่ำกว่าสองพันครั้งแล้วเชื่อว่าเยอะกว่าร็อด สจวรต์มันร้องเองซะอีก) และใกล้ ๆ กันนั้น ก็คือ การเขียนบทรายการทีวีให้พี่เต๋อมาร้องเพลง คู่กับพี่ตุ๋ม นัดดา วิยะกาญจน์ ในเพลง เอนเลสส เลิฟ ซี่งแปลงเนื้อเป็นภาษาไทยโดย พี่ตู้ จรัสพงษ์ สุรัสวดี ซึ่งทำให้เพลงเอนเลส เลิฟ มีเนื้อหาเกี่ยวกับทุเรียนก้านยาวได้อย่างแนบเนียน และไพเราะซึ่งพี่เต๋อ และพี่ตุ๋มทำได้อย่างสนิทกลมกลืน

         วันเวลาผ่านไป หลายปี ผมเป็นนักทำรายการทีวีไปด้วยเอาเงินไปเรียนสถาปัตย์ขาด ๆ เกิน ๆ ต้องทำงานหอกอิสระ (free lance) ไป รับเงินเดือนก็ไม่ได้ ยังไม่จบนี่เรียนไป เที่ยวไป ที่ขาดไม่ได้ ก็คือ โรงแรมมณเฑียรเราไปนั่งเฝ้าพี่เต๋อกันอยู่เนือง ๆ ครั้งแรก ที่พี่เต๋อมานั่งคุยเป็นงานเป็นการที่โต๊ะของเรา ระหว่างพักการร้องเพลง คือการที่พี่เต๋อพูดถึงสิ่งที่พี่เต๋อ อยากทำรายการทีวีสำหรับเด็ก ซึ่งกำลังจะไปเสนอทางช่องสาม เราได้ยินกันก็หูผึ่ง สนอกสนใจ แต่หลังจากนั้นพี่เต๋อก็ไม่ได้พูดถึงมันอีกพี่เต๋อเองก็คงยังไม่รู้ในตอนนั้นว่า ในที่สุดพี่เต๋อจะได้ทำอะไรบางอย่าง ที่มากกว่านั้น

         ประมาณปี 2524ไอ้พวกขี้เมาชาวสถาปัตย์นอกคอก เริ่มหาเรื่องใส่ตัวเพิ่มเติม คุยกันไปคุยกันมา เกิดบ้าเพลงขึ้นมากระทันหัน ช่วงนั้น จิก (ประภาส ชลศรานนท์ในขณะนั้นและขณะนี้)มันมีเพลงบ้าบอของมันหลายเพลง เป็นที่ถูกใจเพื่อนฝูง ก็เลยนิยมเวลาสรวลเสเฮฮา เอามาร้องเล่นผสมครีเอทีฟและคอร์ดกีตาร์ จนกระทั่งพระเจ้าหรือซาตานหรือทาร์ซาน ก็ไม่แน่ใจ ดลใจให้เรามุ่งมั่นว่าจะออกอัลบั้มซักอันหนึ่งให้ได้ จิกในฐานะ หัวโจกดำเนินการไปขอร้องการสนับสนุนจากพี่ ๆ ที่เจเอสแอลให้สนับสนุนเรื่องการเงิน ส่วนในเรื่องการดำเนินงานทางด้านการอัดเสียงเรานึกถึงใครไม่ออก นอกจากพี่เต๋อ ให้เป็นที่ปรึกษา

         ในเวลานั้น คนไทยยังไม่รู้จักคำว่าโปรดิวเซอร์ เดโมสมัยก่อนของผม เท่มาก ผมเล่นกีตาร์ตัวเดียว เจี๊ยบร้องบ้าง บางเพลงผมลองร้องดูบ้าง เพื่อนหลายคนมาสลับกันกดวิทยุเทป เพื่อที่พี่เต๋อจะได้รู้ว่าทำนองเป็นยังไง เนื้อเป็นยังไง ทุกวันนี้ยังงอนพี่เต๋อไม่หาย เพราะพี่เต๋อบอกว่า ไอ้เจี๊ยบ ร้องได้ ไอ้ดี้ร้องไม่ได้ มันร้องเพลงเพี้ยน ต้องไปหาคนมาร้องอีก ซึ่งก็กลายเป็นพี่เล็ก สมชาย ศักดิกุล คนที่มีเฉลียงชุดแรกคงได้ฟังงาน ที่มีพี่เต๋อเป็นคนดูแลให้ ไปอัดเสียงกันที่ห้องอัดกมลสุโกศล ซึ๋งสมัยนี้กลายเป็นอะไรแล้วก็ไม่รู้ ย่านซอยอรรถการประสิทธิ์ สาทรมีพี่ ๆ เซียน ๆ มาเรียบเรียงเสียงประสาน มาเล่นกีตาร์ ทำให้เด็ก ๆ อย่างพวกเราตาลุกวาว มากมาย เช่น พี่ป๊อก วิชัย อึ้งอัมพร พี่จีณ ปราจีณ ทรงเผ่า คนที่ทำให้ผมจับคอร์ดกีตาร์ เพลงดิอิมพอสสิเบิลไม่ได้นี่แหละ พี่ป้อม อัสนี โชติกุล มาเล่นกีตาร์ให้ และพี่อื่น ๆ อีกเยอะ เราสนุกกันมากกับงานเฉลียงชุดแรกตามประสาเด็ก ขายได้เท่าไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าพี่ ๆ ที่ลงทุนให้เราน่าจะเดือดร้อน และมีอนุสรณ์ที่จำได้อย่างหนึ่งคือหน้าปกเทป และแผ่นเสียง ที่ออกแบบโดยประภาสนั้น มีไอเดียที่น่าสนใจ มีคอนเซปต์ที่ดี แต่ชุ่ยที่สุด ไม่ได้มีความประณีตอะไรเลยเส้นดินสอที่ร่างไว้ก็ไม่ลบ นัยว่าจริงใจดี แต่เบื้องหลังคือชุ่ยยังเก็บมาด่ากันเล่น ๆ ได้ถึงทุกวันนี้

         หลังจากนั้น กอไผ่ก็บอกเราว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนก็ดำเนินชีวิตกันไป และเราก็ไม่ได้เจอพี่เต๋อเลยอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งจิกเดินมาโยนเทปเดโมทำนองเพลง ๆ หนึ่งให้ผมเขียนเพลงประกอบหนังเรื่อง วัยระเริงอำพล ลำพูน กับ วรรษมน วัฒโรดม เล่น ดาราใหม่ทั้งคู่ อาเปี๊ยก โปสเตอร์ กำกับ พี่เต๋อ เป็นคนทำเพลง จิกเขียนเพลงยุโรป เฮฮาปาร์ตี้ ชีวิตนี้ของใครผมเขียนเนื้อเพลง ดนตรีในดวงใจในหนังเรื่องนั้น นับว่าเพลงนี้เป็นเพลงแรกที่ทำแล้วเป็นอาชีพ อาชีพแปลว่าได้สตางค์ ผมเขียนเพลงเข้าใจ ก่อนเพลงอื่นใด เพราะเขียนตอนอยากเขียน เมื่อตอนปีสาม ปีสี่เพราะบันดาลใจมาจากเพื่อน ที่มันทะเลาะกับแฟนเป็นประจำ แฟนมันก็คือเพื่อนที่คบกันมาสามปีนี่แหละ แต่พอมันเลิกเป็นแฟนกัน มันกลับคุยกันเข้าใจกันดี ใครจะไปห้ามใจไม่แต่งเพลงไหวนะ แต่เพลงเข้าใจเป็นเพลงส่วนตัวของพวกเพื่อนฝูงอยู่นาน กว่าจะได้ไปออกอากาศก็อีกสามสี่ปีหลังโน่น เมื่อเอาไปใส่ในชุดอื่น ๆ อีกมากมายของเฉลียงนั่น สิ่งที่น่าพิศวงงงงวยจนมาถึงทุกวันนี้ก็คือว่าเพลงแรก ในการเป็นอาชีพของผม คือ ดนตรีในดวงใจนี่น่ะ บนหน้าปกแผ่น ในหนังวัยระเริง กลับไม่ใช่ชื่อผม กลายเป็นชื่อเพื่อนอีกคนหนึ่ง ที่ชื่อ วาชิต รัตนเพียร ที่มาร่วมสนุกตอนทำเฉลียงชุดแรก และมีชื่ออยู่บนเฉลียงชุดแรกด้วยจับมือไอ้จิกดมก็ไม่ได้ จับมือพี่เต๋อดมก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่ามันสื่อสารผิดพลาดตรงไหน ก็เลยขำขันเอา ไม่ได้เอาเป็นเอาตายอะไร

         ประมาณปลายปี 2526 ซึ่งผมเรียนอยู่ปีที่หกพี่เต๋อโทรศัพท์มาหาผมที่บ้าน บอกว่า มีเพื่อนคนหนึ่งอยากทำรายการเพลงทางโทรทัศน์มากเขาเป็นเจ้าของบริษัทที่ทำรายการวิทยุที่ชื่อ ผิวปากตามเพลงที่พี่ฉอด (สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา)เคยเป็นดีเจที่โด่งดังสุด ๆ ในขณะนั้น ก็เลยเกิดเป็นรายการ “ผิวปากตามเพลง” ทางทีวีสีช่องเจ็ดเวลาประมาณห้าทุ่มครึ่งวันพฤหัสฯเว้นพฤหัสฯ

         นับเป็นรายการแรก ๆ เลยก็ว่าได้ที่เป็นรายการเกี่ยวกับเพลงสตริงยุคใหม่ มีสัมภาษณ์ มีมิวสิกวิดีโอแฮนด์เมดมีช่วงนั้น ช่วงนี้ เหมือนรายการสมัยนี้เลย เพียงแต่ยังไม่ค่อยมีคำว่า สนับสนุนโดยสินค้าโน่นนี่ รายการนี้ก็มีพี่เต๋อเป็นพิธีกร ร่วมกับคุณเล็ก กิติศักดิ์ ดีเจที่โด่งดังมากในขณะนั้นอีกคนหนึ่ง โดยมีผมเป็นผู้กำกับ เป็นโปรดิวเซอร์ ได้สัมภาษณ์ ทำงานกับนักร้องหลายคน ผมเคยจับพี่ ๆ วงฮอทเปปเปอร์ซิงเกอร์เดินร้องเพลงกลางสะพานรถไฟ แถวบางซื่อ ต้องคอยเหลือบตาดูว่ารถไฟมาหรือเปล่า จับคุณภูสมิง หน่อสวรรค์ขึ้นไปเล่นกีตาร์ ลิปซิงค์บนต้นจามจุรีในจุฬาฯ เล่นบนหลังคารถเก๋งแล้วให้แล่นไปตามถนน คนมองกันทั้งถนนวิภาวดี จับวงชาตรี วงคีรีบูนทำท่าทางประหลาด ๆ ในมิวสิควิดีโอแฮนด์เมดต่าง ๆรวมทั้งเคยจับคุณนันทิดา แก้วบัวสายนั่งคอยรถไอติมอยู่หน้าบ้านแล้วร้องเพลงคอย ในชุดนันทิดา 27จำได้ว่าตอนนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งขับรถเบ๊นซ์สีขาว มาส่งคุณตู่ แล้วก็นั่งคอยอยู่ราวกับเป็นผู้จัดการส่วนตัว หน้าตาก็ประมาณสามสิบต้น ๆ แต่ผมขาวไปครึ่งศีรษะ ไม่พูดไม่คุยกับใคร และผมก็ไม่ได้เข้าไปทำความรู้จักแต่อย่างใดหมั่นไส้อยู่นิด ๆ ด้วยซ้ำไปภายหลังผมพบว่า หมอนั่น เป็นคนที่ผมเคยทำงานให้เขา เคยเอาสตางค์ของเขามาลงทะเบียนเรียน ตอนที่ผมได้ไปออกรายการยิ้มใส่ไข่ ทางทีวีช่องเก้า ก่อนหน้านั้นสองสามปี แต่ผมไม่เคยรู้ว่าเขาเป็นใครรู้แต่ว่าชื่อบริษัท พรีเมียร์มาร์เกตติ้ง และรู้จักแต่พี่เล็ก บุษบา ดาวเรืองที่เป็นพิธีกร ถ้าจะได้ยินชื่อเจ้าของบริษัทอยู่แว่ว ๆ ก็ได้ยินว่า ชื่อ ไพบูลย์ ไพบูลย์ ส่วนที่เป็นดำรงชัยธรรมนั้น มารู้จักหลังจากนั้นหลายปี

         ระหว่างนั้น ผมได้ยินมาไกล ๆ ว่า พี่เต๋อ นอกจากจะเป็นพิธีกรให้ผมแล้ว ยังรวมหัวกันกับพวกพี่พี่ที่พรีเมียร์มาร์เกตติ้ง ทำเพลงขึ้นมาตั้งแต่ชุดหมอพันทิวา ที่เคยร้องเพลงในหนังเรื่อง เทพธิดาดอย จนดังไปทั่วเมือง มาร้องเพลงนิยายรักจากก้อนเมฆที่พี่เต๋อ บังคับให้ พี่เล็ก บุษบาดาวเรืองเป็นคนเขียนเนื้อทั้งหมดนั่นแหละ ลืมบอกไป ตอนนั้น นอกจากผมจะทำรายการทีวีนั่นแล้วก็ยังเป็นนักจัดรายการวิทยุ อยู่ที่ ททท. ภาคดึก วันละชั่วโมงด้วย นี่เพิ่งนึกออก ซึ่งต้องขอขอบพระคุณพี่สมพงษ์ วรรณภิญโญ แห่งทีวีธันเดอร์ในปัจจุบัน ที่ให้โอกาสทำในสมัยนั้น ความจริงต้องสารภาพตามตรงว่า ประวัติศาสตร์ชีวิตช่วงนี้ ค่อนข้างจะคาบเกี่ยว และอีนุงตุงนังอยู่มาก ไม่รู้อันไหนก่อนอันไหนหลัง แต่ก็ไม่ห่างกันเท่าไหร่นักหรอกครับ

         จำได้ประมาณว่า ช่วงปีสองเจ็ด ผมจบการศึกษา รายการผิวปากตามเพลงเลิกไป รายการวิทยุก็เลิกจัด ไปทำรายการเกมส์โชว์ทางช่องเก้า ชื่อเกมตั้งตัว มีพี่ปุ๊ มนตรี เจนอักษร เป็นพิธีกร กับแก้ว อภิรดี ภวภูตานนท์ ฯ และก็เปลี่ยนมาเป็น ซูโม่กิ๊ก ซึ่งนับว่าเป็นรายการแรกของกิ๊ก ที่เป็นพิธิกรเลยทีเดียวช่วงนั้น พี่เต๋อเริ่มทำเพลงเต๋อหนึ่ง เรียกผมไปหาที่ร้านวนคาม ซอยประสานมิตร เพื่อไปฟังทำนองเพลงหนึ่งเพลง ซึ่งเป็นเสียงคล้ายคาสิโอโทน ไม่มีคอร์ด ไม่มีเบสเป็นเสียงเมโลดี้เพียว ๆ ไม่มีแม้แต่เครื่องกำกับจังหวะเป็นทำนองที่พี่ตั๋ม จาตุรนต์ เอมซ์บุตร เป็นคนทำ พี่เต๋อบรีฟว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับหมู่บ้านในนิทาน อะไรทำนองเนี้ยว่ะดี้ วันนั้นวันที่เท่าไหร่ ผมไม่ได้จำ เพราะไม่คิดว่ามันสำคัญ มารู้ตอนหลังก็นึกเสียดายที่ไม่ได้จำ เพราะวันนั้นคือ จุดผกผันของชีวิตที่ได้เริ่มการทำงานเป็นนักแต่งเพลงอย่างจริงจังและต่อเนื่องนับแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ สิบหกปี

         ชุดแรกในเต๋อหนึ่ง ผมยังได้รับเพลง ดอกฟ้ากับหมาวัด กับเพื่อนเอย มาแต่งอีกสองเพลง แถมยังเอาเพลง ยิ่งสูงยิ่งหนาว มาฝากให้เจี๊ยบ (วัชระ ปานเอี่ยม) ได้แต่งด้วย หลังจากนั้นก็มีเพลงมาให้แต่งเรื่อย ๆ โดยที่ผมไปรับเมโลดี้มาจากพี่เต๋อ นัดกันที่ห้องอัดเสียงทอง (ป่านนี้ไม่มีแล้วมั้ง) บ้าง ศรีสยามบ้าง เป็นงานแหวนฐิติมา ชุดแรก ฉันเป็นฉันเอง บาราคูดัส เช้าวันอาทิตย์ ทูน หิรัญทรัพย์ ช่วงนั้น ผมยังไม่รู้จักแกรมมี่สักเท่าไหร่ รู้จักแต่พี่เต๋อเท่านั้น ผมเองก็ผจญภัยไปเรื่อย นอกจากทำรายการเกมตั้งตัวนั่น ก็ไปเล่นละคร เป็นภารโรงเรื่องนายแพทย์สนุกสนานของจิกมัน

         คืนหนึ่ง ขณะที่ผมไปเฮฮาที่บ้านอั๋น(วัชระ แวววุฒินันท์) ผมโทรไปหาพี่เต๋อที่บ้านตามที่พี่เต๋อสั่งไว้ พี่เต๋อไม่ว่างรับ ผมเลยให้โทรกลับมาที่บ้านอั๋น พี่เต๋อโทรมา เพื่อจะบอกว่า พรุ่งนี้จะให้เอาเงินค่าแต่งเพลงไปให้ที่ไหน สองพันบาทน่ะ ตอนนั้นที่ผมกำลังตึง ๆ อยู่พองาม ก็เลยไม่สามารถห้ามใจได้ กล่าวไปว่า พี่เต๋อครับ ผมไม่เคยเห็นคนแบบพี่นะ คนในวงการเพลง วงการบันเทิงที่เค้าจะมาตามถามว่า จะเอาเงินไปจ่ายให้ได้ยังไงบ้างผมเคยได้ยินแต่เบี้ยว กับเช็คเด้ง พี่เต๋อก็ตอบประมาณว่า เอาเหอะ ดี้จะให้เราไปหาที่ไหนผมก็บอกแค่ว่า พรุ่งนี้ผมมีถ่ายทำรายการที่ช่องเก้าอสมท.ครับ ในใจนึกถึงเรื่องนี้ ทั้ง ๆ ที่เมา ๆผ่านกลางคืน จนเช้า จนบ่ายไปทำงานที่ช่องเก้า มีประโยคเดียวคือ ถ้าผู้ชายคนนี้เอาเงินมาให้กูถึงที่จริง สองพันแค่นี้ กูจะจดไว้ในใจเลยว่า ถ้าชวนกูไปหัวหกก้นขวิดกับชีวิตที่ไหน กูจะไปด้วย
เขามาครับ เรวัต พุทธินันทน์ มาครับ ขับรถมาสด้า 626 สีขาว มาจอดแล้วเดินเข้ามาตอนที่ผมกำลังทำรายการอยู่ มาเพื่อจะเอาเงินมาให้สองพันบาท แล้วก็ไป ผมทำรายการเกมโชว์นั้นอยู่อีกไม่นาน ก็เลิกล้มไปอีกเริ่มมีโปรเจคเป็นละครเรื่องใหม่ ชื่อ เมฆินทร์พิฆาต ละครที่ทำให้พงษ์พัฒน์กับธัญญา โสภณ ได้พบกันน่ะแหละ ผมก็เล่นเป็นพระครูอะไรไม่รู้ แก๊แก่ พอละครเรื่องนี้จบลง ก็กำลังจะพยายามจะหาโปรเจคใหม่สำหรับความรับผิดชอบต่อเงินเดือนของตัวเอง

         และในวันหนึ่งก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเสียงโทรศัพท์ประวัติศาสตร์ของชีวิตส่วนตัว บ่ายวันหนึ่งวันนั้น อย่าว่าแต่วันหรือดือนเลย ปีไหนก็ยังไม่แน่ใจ สองแปด หรือสองเก้า มีเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานผม ผมก็รับอย่างเป็นปกติธรรมดาเป็นเสียงแหบ ๆ ของพี่เต๋อ ที่เริ่มมีน้ำหนักของความมั่นใจ ที่จะชวนผมไปทำงานด้วยต้องบอกก่อนว่า คนดี ๆ ในสมัยนั้นเขาไม่ทำกันหรอกในเรื่องที่จะชวนใครสักคนไปทำงานเต้นกินรำกิน เขียนกิน แล้วบอกว่ามันเป็นสิ่งที่น่าจะยึดถือเป็นอาชีพได้ พี่เต๋อชักแม่น้ำทั้งห้า ทั้งเจ็ด ทั้งยี่สิบแปด ทั้งสามร้อยหกสิบห้า ผมก็ยังเฉย พี่เต๋อคงเตรียมคำพูดมาอยู่นานมาก พี่เต๋อคงจะสร้างฐานไว้นานมากแต่สำหรับผม คนที่ได้เงินค่าแต่งเพลงจากพี่เต๋อ โดยที่ไม่ต้องทวงถามแถมลูกหนี้คนที่ชื่อเต๋อ ขับรถมาเพื่อจะเอาเงินสองพันบาทมาให้ ณ ที่ที่ผมกำลังทำงานอยู่ ผมไม่สนใจคำหว่านล้อมของพี่เต๋อเลย พี่เต๋อบอกว่า เฮ้ย ไอ้ดี้ เราไม่เคยอยากให้ดี้ออกจากงานนะเว้ย ผมไม่สนใจคำหว่านล้อมเลย ผมฟังอยู่เกือบชั่วโมง ผมรออยู่แค่ว่าเมื่อไหร่พี่เต๋อจะให้ผมตอบบ้าง แล้วก็เมื่อถึงเวลาที่พี่เต๋อถาม ผมก็แค่ตอบว่า ผมไปด้วยครับพี่

         แล้วผมก็ได้รับนัดให้ไปเจอคุณไพบูลย์กับพี่เต๋อ ที่อาคารวาณิช ชั้นสิบเก้า จำได้ว่าเป็นการได้พบคุณไพบูลย์ อย่างเป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรก คุณไพบูลย์และพี่เต๋อนั้นดุจดังเป็นหัวหน้าใหญ่ทั้งคู่ของแกรมมี่ ในระยะเริ่มแรก ก็ยังไม่มีแม้แต่ห้องทำงานส่วนตัว เพื่อจะเจรจาอะไรสักอย่าง ในวันนั้น คุณไพบูลย์ก็เลยต้องไล่ช่างตัดต่อในห้องตัดต่อที่กำลังทำงานออกไปก่อน เพื่อที่จะได้คุยกับผมคุณไพบูลย์ เสนอให้ผมเป็นเงินเดือนเดือนละหนึ่งหมื่นบาทแต่งเพลงอีกต่างหากอีกเพลงละหนึ่งพันซึ่งสมัยนั้น ปกติแต่งเพลงหนึ่งก็ได้เพลงละสองพันบาทอยู่แล้ว ผมก็เลยเห็นว่า ถ้าเดือนไหนแต่งสิบเพลง(ซึ่งเป็นไปแทบไม่ได้) ก็คือเจ๊ากัน เหมือนไม่มีเงินเดือน ก็เลยพาซื่อต่อรองแบบเด็ก ๆ ไปว่า ผมขออย่างนี้ดีกว่าครับพี่ ผมขอเดือนละสองหมื่นบาท แต่งเพลงต่างหากอีกเพลงละสองพัน เอาเป็นว่าสองเท่ามันเสียทั้งสองอย่าง จะได้ไหมครับ ซึ่งเป็นการต่อรองที่น่าเกลียดที่สุด ในชีวิตครั้งหนึ่งคุณไพบูลย์เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็ตกลงและตั้งแต่นั้นมาจนถึงวันนี้ ผมก็ไม่เคยต่อรองอะไรกับเขาอีกเลย เพราะไม่ใช่วิธีใช้ชีวิตของผม (เรื่องราวนี้เคยคุยให้คุณไพบูลย์ฟัง เมื่อสิบกว่าปีให้หลัง แกไม่ยอมรับ แกบอกไม่จริง แกบอกแกไม่มีวันจะยอมผมอย่างง่าย ๆ ขนาดนั้น แล้วก็หัวเราะกันไป)

         ตั้งแต่นั้นมาผมก็เป็นนักแต่งเพลงอาชีพ มีสังกัดอย่างเป็นเรื่องเป็นราว โดยที่มีพี่เต๋อเป็นเจ้านาย และมีคุณไพบูลย์เป็นคนจ่ายเงิน ผมกลายเป็นนักแต่งเนื้อเพลงคนที่สองของแกรมมี่ โดยมีพี่เต๋อเป็นคนที่หนึ่ง (หากไม่นับคุณพี่เล็กบุษบาดาวเรืองซึ่งเขียนเนื้อเพลงชุดนิยายรักจากก้อนเมฆของพญ.พันทิวา สินรัชตานันท์ ชุดเดียวแล้วเลิกไปเลย) พี่เต๋อจะลงไปเขียนเองทุกเพลงในงานชุด ฝากฟ้าทะเลฝัน ชุดแรกของเบิร์ด ธงไชย ซึ่งในตอนนั้นแกยังร้องเพลงสไตล์เสียงใหญ่ ๆแบบประกวดสยามกลการอยู่เลย กว่าจะมาร้องแบบที่ได้ยินกันนั่นพี่เต๋อก็เหงื่อตกไปหลายเหมือนกัน ส่วนผมก็ตกหนัก ในชุดนันทิดาชุดที่มีเพลงฉันยังปอด ๆ อะไรนั่น ซึ่งเป็นเพลงที่ผมยังอายอยู่ไม่หายจนทุกวันนี้ เขียนคนเดียวเกือบทั้งชุด
มีไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ บ้างเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นปรัชญ์ สุวรรณศร หรือ น้องอิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์ ก็ได้มาไม่มาก พี่เต๋อเกือบจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมหมดในเรื่องการดูแลเนื้อร้อง ชุดแรก ๆไม่ว่าจะเป็นแหวนชุดที่เพลงเรามีเรา ไมโครชุดที่มีรักปอนปอน ก็เป็นผมต้องนั่งหลังแข็งเขียนเองไปเกือบหมด

         ช่วงนั้นเอง ก็ได้เวลา ที่ผมจำต้องหาคนมาช่วยอย่างเป็นงานเป็นการ สีฟ้า พี่เขตต์อรัญ พี่ป๋อง อรรณพ จันสุตะหรือ น้าประชา พงศ์สุพัฒน์ ก็เข้ามาในช่วงนี้ ซึ่งทำความหนักใจให้ผมอย่างมาก เพราะชื่อเหล่านั้นเป็นครูสอนดนตรี และนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่เคยทำงานแบบที่เราต้องการข้อสำคัญคืออาวุโสกว่าผมมากแล้วผมมันเป็นใครที่ไหน ที่จะต้องมานั่งคอยวิพากษ์วิจารณ์ ด้วยความที่ต้องรับผิดชอบ ก็เลยต้องทำ กว่าจะทำให้พี่ ๆ เ หล่านั้นเชื่อถือ ไว้ใจทั้งทางด้านเหตุผลในการวิจารณ์งาน เพื่อให้ได้เป้าหมาย และไว้ใจว่า ผมจะดูแลพี่ ๆ อย่างดีที่สุดเท่าที่จะมีกำลัง ก็ผ่านไปหลายปี และนี่คือสิ่งที่ผมภูมิใจที่ทำให้พี่ ๆ เหล่านั้นไว้ใจผมได้ ภูมิใจยิ่งกว่าเขียนเพลงออกมาได้ดัง ๆอย่าง เพลงเรามีเรา หรือรักปอนปอน ในสมัยนั้นด้วยซ้ำ ผมภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับพี่เต๋อ และนักดนตรีระดับเซียนอย่าง พี่ป๊อก วิชัย อึ้งอัมพร พี่ตั๋ม จาตุรนต์ เอมซ์บุตร พี่ฑูรย์ ไพฑูรย์ วาทยะกร พี่ป้อม อัสนี โชติกุล ส่วนที่ตามมาก็มี ป้อม อภิไชย เย็นพูลสุข โอม ชาตรี คงสุวรรณ พี่ปื๊ด สมชาย กฤษณะเศรณีพี่ฉ่าย สมชัย ขำเลิศกุล อ้อม ชุมพล สุปัญโญ เป็นที่เหนียวแน่น และมั่นคงอยู่ได้ เพราะความเป็นผู้นำ ยุติธรรม ชัดเจน ของพี่เต๋อจริง ๆ ไม่ได้พูดเพราะว่าเห็นพี่เขาไม่อยู่แล้ว ก็จะมายกย่องกัน

         ส่วนทีมเนื้อร้อง ก็จะมีสีฟ้า พี่เขตต์ พี่ป๋อง น้าประชา เป็นกลุ่มแรก มีหลายอารมณ์ด้วยกัน สีฟ้าก็น้ำตาท่วม พี่เขตต์ก็จะปรัชญาเมธี พี่ป๋องก็ไปทางสนุกสนานน่ารัก น้าประชาเป็นเพลงครีเอทบ้า ๆ ส่วนผมก็จะเป็นพวกเขียนเพลงปากจัดไปตามประสา อีกไม่นาน ก็มีการที่ผมต้องเปิดโรงเรียนส่วนตัว รับสอนเขียนเพลง ใช้เวลาทุกอาทิตย์ เป็นเวลาสองปีเป็นอย่างต่ำ ก็จะได้จักราวุธ แสวงผล สุรักษ์ สุขเสวี วรัชยา พรหมสถิต นวฉัตร อาจารย์จุ๋ม เข้ามาเป็นพรรคพวกรุ่นใหม่ ความจริงที่มาที่ไปของแต่ละคนนี่น่าจะให้พวกเค้ามาเล่าให้ฟังก็น่าจะดี แนะนำทีมงานที่เราทำงานด้วยกัน พอจะเห็นว่าใครเป็นใครแล้ว จากนั้น เทปที่อัดรายการชีวิตไว้ มันหมุนเร็วมาก เสียจน ไม่อาจจะเล่าให้ฟังได้ทั้งหมด ประเด็นก็คือ เราก็ได้ร่วมหัวจมท้ายถูกพี่เต๋อบอกว่าพวกมึงยอดมาก กับพวกมึงโคตรมั่วเลย สลับไปมากันตลอด จะนับปีก็เป็นสิบปี จะนับเพลงก็คงเป็นพันเพลง บังเอิญตรงนี้ ไม่ได้เป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ อันละเอียด ก็เลยไม่ต้องเล่า พี่เต๋อเป็นผู้ชายที่เป็นคนธรรมดา เป็นลูกผู้ชาย เป็นหัวหน้าที่ลูกน้องนิยมน้ำใจ เป็นลูกพี่ที่ลูกน้องที่แสนจะมีความหลงตัวเอง ยอมเชื่อทำตาม โดยที่หน้าก็ยังยิ้มอยู่ คนทำงานกับพี่เต๋อ มีแต่เหนื่อย แต่ไม่มีอึดอัดสิ่งที่พี่เต๋อมีคือ พี่เต๋อเอาใจเข้าไปหมั่นตรวจสอบเพื่อนฝูงและน้อง ๆ ทุกคนว่า มึงมีปัญหาชีวิตอะไรกันบ้างหรือเปล่า ในสังคมบ้านเรามันมีเยอะนะครับ ที่ชื่อเสียงดี คนไกลเลื่อมใส แต่คนใกล้อยากจะอ้วก พี่เต๋อไม่ใช่ พี่เต๋อฟังลูกน้องก่อนแล้วจึงสอน พี่เต๋อเป็นคนที่ภาพลักษณ์ดี แต่จริง คนนอกเลื่อมใส คนในก็นับถือน้ำใจ เที่ยวห่วงทุกคนไปเสียหมด ดูแลชีวิตเพื่อนฝูง ลูกน้องอย่างจริงใจ ไม่ใช่แค่พูดให้หวาน ๆ จำเด็ก ๆ ทำงานได้หมดไม่ว่าตัวเล็กตัวน้อยพี่เต๋อมีคำว่าขอบคุณจ้ะ กับทุกคนทุกครั้งแม้จะเป็นเด็กเสริ์ฟกาแฟ

         บ่อยครั้งมากในระยะหลัง พวกเราก็จะแห่กันไปทำงานที่บ้านพี่เต๋อที่ซอยลาดพร้าว 31 ทุกวันเสาร์ ได้งานที่ดี ได้คุยกันสนุกสนาน พี่เต๋อก็จะให้กินข้าวปลาอาหารอย่างดีที่พี่อี๊ด ภรรยาพี่เต๋อจะคอยดูแลไม่ได้ขาด เหล้ายาปลาปิ้งก็จะพร้อมพรัก โดยที่พี่เต๋อเองไม่ดื่มเลย อย่างมากก็มีไวน์แดงสักแก้วสองแก้วแค่นั้น ในขณะที่พวกเรา โดยเฉพาะผม ก็จะซัดไปเต็มคราบ เมื่อก่อนพี่เต๋อคงดื่มจัดอยู่แล้วสมัยเล่นดนตรีกลางคืนเป็นเวลาสิบ ๆ ปี จู่ ๆ ก็ตัดใจเลิก ด้วยเหตุผลว่า มันทำให้การทำงานมันมีประสิทธิภาพน้อยลงแล้วพี่เต๋อก็เลิกมันไป มีแต่ข้อเสียคือเลิกบุหรี่ไม่ได้ และค่อนข้างจะสูบหนักการไปทำงานบ้านพี่เต๋อคือการส่งเพลง ตรวจเพลงให้พี่เต๋อเขาด่าบ้าง ขำบ้าง ชอบใจบ้าง ซึ่งทุกคนก็สนุกกันดีไม่มีเครียดไม่ว่าจะทั้งฝ่ายดนตรี หรือฝ่ายเนื้อร้อง ที่ผมดูแลอยู่ จากนั้นพอได้เวลา เราก็จะนั่งเชียร์บอลดิวิชั่นหนึ่งอังกฤษ (ที่สมัยนี้เป็นพรีเมียร์ลีก) หรือบอลกัลโช่ ของอิตาลี บอลโลก ยุคที่ มาร์โคแวนบาสเทน รุด กุลลิจ แฟรงค์ ไรจ์การ์ดกำลังรุ่งเรืองอยู่ในทีมฮอลแลนด์ พี่เต๋อจะเรียกมันว่า ไอ้ร้ายกาจ แล้วก็จะส่งเสียงเชียร์บอลกันอย่างไม่เกรงใจใครพี่เต๋อจะแสดงนิสัยทีไม่เคยยอมแพ้อะไร แม้กระทั่งเล่นวิดีโอเกม ผมเคยเล่นเกมฟุตบอลกับแกหลายที แกก็จะลุ้นเอาเป็นเอาตายแต่หัวเราะตลอด จะต้องเอาชนะให้ได้ ซึ่งผมก็ไม่มีทางยอมง่าย ๆ ซะหรอก พี่เต๋อมีวิญญาณแห่งการต่อสู้ตั้งแต่ในชีวิต ที่ดำเนิน ไม่เว้นแม้ตอนเล่นเกมวิดีโอ

         วันหนึ่ง หลังจากความสุขกำลังล้อมรอบการทำงานเราอยู่นั้น ผมก็ได้ข่าวมาจากเลขาฯของผมว่า พี่เต๋อไปตรวจเช็คที่โรงพยาบาลสมิติเวชเมื่อประมาณปลายเดือนพ.ย.38 แล้วก็ได้พบบางอย่างอยู่ในสมอง ผมสั่งให้ทุกคนเช็คว่ามันคืออะไร อย่าเพิ่งตกใจกันเราพากันไปที่นิวยอร์ค เพื่อยืนยันว่า สิ่งที่พี่เต๋อเป็นนั้น เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น เราทุกคนเชื่อแบบนั้น ตั้งแต่ตอนผ่าตัด จนถึงพักฟื้นเป็นเวลาหลายเดือนพี่เต๋อเหมือนเดิม ห่วงงาน ห่วงพรรคพวก มุขยังปล่อยออกมาตลอด จนกลับมาเมืองไทย ก็ตัดคำว่าอันตรายไปจากความคิดของทุกคน เรากำลังเริ่มจะวางแผนอนาคตการงานกันต่อ อย่างหน้าตาเฉย เหมือนพี่เขาเพิ่งไปผ่าไส้ติ่งมา อีกไม่นานจากนั้น พี่เต๋อ ก็กลับเข้าไปที่สมิติเวชอีก เพราะไอ้เนื้อบ้านั่น มันกลับมาอีก เราก็ได้แต่เชื่อว่า มีทางแก้ไขในขณะเดียวกัน ผมก็เข้าไปทำตัวเป็นลิงเป็นค่างให้พี่เต๋อได้หัวเราะน้ำหูตาไหลได้ตลอด ให้พี่ได้ฟังเพลง เทาเวอร์ ออฟ เพาเวอร์ ที่พี่ชอบแต่หลังจากนั้น ดูเหมือนว่า พระเจ้าทรงอยากได้พี่เต๋อมากกว่า ก็พาพี่เต๋อไปอย่างสุภาพ และสงบไม่มีใครจะขัดใจพระเจ้าได้เลย

         นับจากวันนั้นพี่ชายใจดีของผม ก็เป็นตำนานเล่มใหญ่ที่เพิ่งเขียนจบ ตำนานอีกเล่มหนึ่งในวงการดนตรีของประเทศไทย ตำนานของการบุกเบิกการแต่งเพลงการผลิตเพลง การอัดเสียงในวิธีของสากล ตำนานของคำว่าโปรดิวเซอร์คนแรกของเมืองไทยและที่สำคัญคือ เป็นผู้แผ้วถางให้อาชีพนักร้องนักแต่งเพลง มีเกียรติ ศักดิ์ศรี พร้อมทั้งมีทรัพย์อันเหมาะควรแก่วิชาชีพ อย่างยุติธรรมเฉกเช่นสากล ไม่ใช่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายทุนเจ๊กแป๊ะรุ่นเก่า ไม่ใช่ต้องเป็นศิลปินไส้แห้ง อย่างที่ยุคโบราณเคยค่อนแคะและเหยียดหยาม

         พี่เต๋อจะอยู่ส่วนไหนของฟ้าในวันนี้ ผมไม่ทราบ แต่ถ้าดูจากสิ่งที่พี่ทำไว้เมื่อตอนยังพบเห็นกันอยู่ ผมคิดว่าพี่เต๋อคงอยู่ประมาณชั้นเพนท์เฮาส์ของสวรรค์ แล้วเมื่อถึงเวลา พวกผม ก็คงตามไปทำเพลงกับพี่ที่นั่นด้วยเหมือนกัน

: หมายเหตุ เรื่องนี้ ผมบังเอิญไปอ่านเจอจาก Sumokeng’s Multiply Site (http://sumokeng.multiply.com) ซึ่งบังเอิญวันนั้นจะหาวิธีการเขียนเพลง จากพี่กู เวปนี้มีอยู่2 เรื่อง คือเรื่อง ห้องนี้ของพี่ใหญ่กับ วิธีการเขีนยนเพลงเริ่มต้น ซึ่งคาดว่า ทั้งสองเรื่องน่าจะมาจาก เวป www.nitipong.com  ซึ่งปัจจุบันได้ปิดตัวถาวรแล้ว จึงขออนุญาติ นำมาให้ทุกคนได้อ่าน เพราะเป็นเรื่องที่น่าอ่าน ได้ข้อคิดดีๆ ของ ผู้ชายคนนี้ ที่ชื่อ เต๋อ เรวัฒ พุทธินันท์ ผ่านสายตาของน้อง คนหนึ่งที่ชื่อดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค ครับ ซึ่งถ้าหากว่าทางเจ้าของลิขสิทธิ์นี้ เห็นว่าละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งมาที่ paisee@hotmail.co.th ได้ครับยินดีลบออก เพราะไม่ได้คิดจะหาผลประโยชน์จากข้อความนี้

มีนาคม 8, 2010 Posted by | ผสมปนเป | ใส่ความเห็น

2 วัน 2 อารมณ์, 2 เพลง กับคนตาสวยผู้มากับสายฝน

0000 รู้สึกเหี่ยวๆยังไงไม่รู้เหมือนกันครับ ทั้งๆที่เมื่อวานกับวันนี้ฝนตกทั้งสองวันแต่ ทำไมผมรู้สึกต่างกันจังเหมือน อารมณ์ของเพลง 2 เพลงที่เกี่ยวข้องกับฝนเหมือนกัน เกี่ยวกับจังหวะความสวยงาม ของฝนแต่ทำไมล่ะคับ ทำไม? ผมมานั่งถามตัวเอง ว่าทำไมหรอแค่ 2 วันนี่ทำให้เรารู้สึกต่างกันได้อย่างนี้ เฮ้อ คิดแล้วมันเศร้า แต่ก็นั่นแหล่ะครับ อย่างน้อยมุมเล็กๆก็ทำให้เรายิ้มออกอยู่บ้านเมื่อคิดถึงสิ่งดีๆ คิดถึง ความรูสึกดีๆ ที่เกิดขึ้นในเมื่อวาน ถึงวันนี้มันจะคนละอารมณ์กับเมื่อวาน แต่วันนี้เราก็ยังยิ้มออก เมื่อคิดถึงฝนตกเมื่อวาน

0000 เพลงที่จะพูดถึง หรอครับ ใช่แล้วล่ะ มันเกิดจากเพลงสองเพลงครับ แค่ต่างวัน บรรยากาศเดียวกันคืนคลึ้ม ฝนตก แต่ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงรุ้สึก คอนทราสกันอย่างแรง ไม่รู้

0000 A Lover’s Concerto เป็นการ remaker ที่ร้องโดย Kelly chen เพื่อใช้ประกอบหนังที่ชื่อเดียวกับ เพลงนั่นแหล่ะครับเป็นหนังโรแมนติก ของเกาหลี ที่โรแมนติกมากๆ เรื่องหนึ่ง แต่ขอโทษครับวันนี้ผมไม่ได้มาเล่าเรื่องหนังครับ แต่เป็นเพลงที่เป็นตัวแทนอารมณ์ความรู้สึกของผมเมื่อวานครับ อิอิ เดิมทีเป็น ของ The Toys ครับเป็นเพลงที่แต่งโดยนักแต่งเพลง อเมริกัน ชื่อSandy Linzer and Denny Randell และบันทึกเสียงในปี 1965 หลายๆคนไม่เคยรู้มาก่อน เช่นเดียวกับผมเอง ซึ่งตอนแรกงงมากเมื่อ ถามน้องหลอด เพื่อหา เพลง A Lover’s Concerto แต่เจอป้า มาร้องทำนองแปลกๆด้วยความอยากรู้จึกถาม ป้าวิค ป่าวๆๆไม่ได้หมายถึง พอส สไปส์ ของเบคแฮมป์หรอกครับ แต่หมายถึง Wikypedia สารานุกรมออนไลน์แหล่ะครับ เค้าบอกว่า เพลงนี้น่ะ แต่งไว้ตั้งกะปี 1965 แล้วมีนักร้องชื่อ The toys ซึ่งเป็นกลุ่มสาวนักร้องเพลงป๊อป ผิวสีร้องเป็นคนร้อง สงสัยหรอครับว่าเป็นอย่างไร โอเคไปฟังกัน แต่อย่ามาถามความโรแมนติกของเพลงนี้เวอร์ชั่นนี้ จากผมนะ เตือนไว้ก่อนครับแต่ต้องรอให้ความโรแมนติกของผมหมดไปก่อนนะครับ แล้วค่อยไปฟัง ตอนนี้ฟัง recover version ไปก่อนนะครับ

แต่งโดย : Sandy Linzer and Denny Randell
ร้องโดย : The Toy, original version
: Kelly chen, ใช้ประกอบ หนัง เรื่อง A Lover’s Concerto

How gentle is the rain
That falls softly on the meadow
Birds high up in the trees
Serenade the clouds with their melody
Oh! See there beyond the hills
The bright colors of the rainbow
Some magic from above
Made this day for us
Just to fall in love
You hold me in your arms
And say once again
you love me
And if your love is true
Everything will be just as wonderful
Now, I belong to you
From this day until forever
Just love me tenderly
And I’ll give to you
Every part of me
Oh! Don’t ever make me cry
Through long lonely nights without love
Be always true to me
Keep this day in your heart eternally
You hold me in your arms
And say once again you love me
And if your love is true
Everything will be just as wonderful
0000 ฟังแล้วรู้สึกยังไงบ้างครับ ยิ้มล่ะสิ ตอนนี้ ก็เค้าพูดถึงความสวยงามของความรัก กับบรรยากาศหลังสายฝน ความอ่อนโยน ความโรแมนติก โดยเฉพาะท่อนนี้น่ะครับ
Oh! Don’t ever make me cry
Through long lonely nights without love
Be always true to me
Keep this day in your heart eternally
0000 ถ้าเรามั่นคงในรักกันและกันแล้ว รักเราจะคงแท้มั่นคงตลอดไป อืม หวานซะหยดย้อยครับ เฮ้อ…….ว่าแล้วถอนหายใจอีกหนึ่งดอก ว่าแล้วเราไปดูฟังต้นฉบับกันเถอะครับ A Lover’s Concerto by The toys

0000
เป็นไงล่ะครับคนละอารมณ์กันเลย ก็สมควรแล้วล่ะครับที่เอามาปิดแบ่งภาคอารมณ์ฝนตกของวันนี้น่ะครับ เพลงนี้ชื่อ Rhythm Of The Rain ครับ ร้องโดย John Gummoe วง The Cascades ยุคช่วง 1962 ครับ

Rhythm Of The Rain

ร้องโดย The Cascades ( มาพร้อมกับอายุอานามที่เพิ่มขึ้นครับ)
Listen to the rhythm of the falling rain
Telling me just what a fool I’ve been
I wish that it would go and let me cry in vain
And let me be alone again
The only girl I care about has gone away
Looking for a brand new start
But little does she know
That when she left that day
Along with her she took my heart
Rain please tell me now does that seem fair
For her to steal my heart away when she don’t care
I can’t love another when my hearts somewhere far away
The only girl I care about has gone away
Looking for a brand new start
But little does she know that when she left that day
Along with her she took my heart
Rain won’t you tell her that
I love her soPlease ask the sun to set her heart aglow
Rain in her heart and let the love we knew start to grow
Listen to the rhythm of the falling rain
Telling me just what a fool I’ve been
I wish that it would go and let me cry in vain
And let me be alone again
Oh, listen to the falling rain
Pitter pater, pitter pater
Oh, oh, oh, listen to the falling rain
Pitter pater, pitter pater
0000 เฮ้อ…ดอกที่สองครับ เห็นไหมครับมันคนละอารมณ์กันเลยกับ Lover’s Concerto คนละขั้ว คนหนึ่งบอกเล่าถึงความงามของบรรยากาศหลังฝนตก อีกคนกำลังคร่ำครวญกับสายฝน ว่าเพราะความโง่เขลาของตัวเองจึงทำให้ คนนั้นต้องจากไป แต่ก็นั่นแหล่ะครับ ถึงอย่างไรฝนก็มักจะอยู่คู่กับอารมณ์โรแมนติก ถึงแม้จะเป็นโรแมนติกในมุมที่จบไม่สวยสักเท่าไหร่ เพราะอะไรหรอครับ ดูท่อนนี้สิครับ
The only girl I care about has gone away
Looking for a brand new start
But little does she know that when she left that day
Along with her she took my heart
0000ก็สาวเจ้าที่ตัวฉันรักจะจากไปแล้วก็ตามและถึงแม้ตัวฉันจะเริ่มต้นมองหาคนใหม่ แต่ก็นั่นแหล่ะถึงแม้เธอจะรู้อยู่ในใจ ว่าหัวใจฉันน่ะอยู่กับเธอ อืม…………………^_^
หลังจากเสร็จสิ้นการระบายความในใจอีกไป ก็เริ่มยิ้มกับตัวเอง อีกครั้ง เมื่อคิดถึงเธอ “คนตาสวย”

ขอขอบคุณ
1. น้องหลอด http://www.youtube.com/ ที่อนุเคราะห์ MV สวยๆ
2. ป้าวิค http://www.wikipedia.org/ ที่อนุเคราะห์ข้อมูลดีๆ
3. คุณกู http://www.google.com/ ที่ใจดีถามอะไรตอบหมด
4. ไทยไลริค http://www.thailyrics.com/ ที่อนุเคราะห์เนื้อเพลง ครับ
5. และคนอ่านที่น่ารักทุกคนครับ

ตุลาคม 29, 2008 Posted by | ผสมปนเป | 3 ความเห็น

เรื่องเล่า เมาท์มันๆ

0000 เฮ้อเหนื่อยจังเลยครับช่วงนี้ งานมะรุมมะตุ้มดีแท้ (ไม่เห็นจะดีตรงไหนเลย) ทั้งเรียน ทั้ง ทำงาน จะว่าไปแล้วนี่ก็ย่างเข้า4ปีแล้วล่ะครับหลังจากที่ Dr. MM(ขอสงวนนามครับ) ผู้ที่เปรียบเหมือนแม่ และ อาจารย์ของผม กลับไปอยู่บ้านตามประสาของคนอายุ 77 (ตอนแกกลับตอนนั้น 74 ปี) Dr. MMเป็นคน เมียนมีซ (Myanmese) เดิมที พม่าใช้ คำว่า Burma ครับแต่คำว่า Burma หมายถึงคนพม่าอย่างเดียวต่อมาเค้าเปลี่ยนชื่อประเทศว่าMyanmar (เฮ้อ… ประเทศนี้เอาแต่ใจจริงๆ อยากจะทำอะไรก็ทำ อย่างล่าสุดก็ย้ายเมืองหลวงจากย่างกุ้งขึ้นเหนือไปอีกประมาณ สี่ร้อย กม) เพื่อที่จะแปลว่า ทั้งหมดหรือทุกชนเผ่า อันนี้ ด๊อกเตอร์( ปกติจะไม่ค่อยแหม่งๆ เท่าไหร่เวลาเราเขียน Doctor แต่เขียนเป็นไทยแล้วแปลกๆ เพราะมันไปพ้องกับคำว่า Dogter อะไรประมาณนี้อ่ะ เอาเป็นว่าขอเรียกแม่ละกันนะครับ) เล่าให้ฟังนะครับ

0000 แม่ เค้าไม่ยอมรับครับว่าเป็นคนพม่า ถ้าวันไหนผมพูดถึงเรื่องพม่าผมจะเหลือบมองเค้า และเค้าจะรู้ว่าผมแอบกัดเค้าอยู่ เค้าจะสวนมาว่า No…., I’m not Burmese, I’m Shan’s people. หมายถึงคนรัฐฉานครับ จริง ๆแล้ว ในพม่าประกอบด้วยหลายชนเผ่า ซึ่งส่วนใหญ่ จะเกลียดคนพม่า เพราะว่า คนพม่าเป็นพวกที่แข็งแกร่งทางด้านการรบ มีนิสัยห้าวหาญ ชอบรุกรานตั้งแต่ในอดีต ดังที่แม่เค้าเล่าให้ฟังว่า ประวัติศาสตร์พม่า จะไม่บันทึกว่าประเทศไทยเป็นคู่แข่งทางด้านการรบที่น่ากลัว ซึ่งเค้าจะเน้นหรือบันทึกทางสงครามเกี่ยวกับ อินเดีย กับจีนมากกว่า (แต่นั่นแหล่ะครับบ้านเราก็บอกแล้วว่ารักสงบก็เลยไม่ค่อยรุกรานใครก่อน ก็มักจะมีปัญหาแค่พม่าเท่านั้น แต่พม่าในอดีตดูเหมือนว่าชายแดนฝั่งเราไม่ค่อย น่ากลัวเท่าไหร่ต้องรอให้พักยกจากทางจีนกับอินเดียก่อนแล้วค่อยมาเปิดศึกกับไทย แม่ว่าอย่างนั้น) จากสาเหตุดังกล่าวชนกลุ่มน้อยต่างๆ ไม่ชอบคนพม่า

—————————————Break แป๊บนึง มารู้จักแม่และประวัติศาสตร์กันก่อนครับ————————–

0000 หมายเหต แม่เป็นคนรัฐฉานครับ เดิมที่เนี่ยคนที่พม่าเค้าจะเก่งคนละอย่างกันคนพม่าจะเก่งเรื่องการรบ คนรัฐฉานจะเก่งค้าขายแพทย์ รู้สึกถ้าจำไม่ผิดตระกูลของแม่ก็ค้าขาย และอยู่ในเครือข่ายแพทย์ สมัยนั้น ความเจริญบ้านเรายังตามพม่าอยู่ครับ ทุกอย่าง การศึกษาของเค้าใช้หลักสูตร จากทางอังกฤษทั้งสิ้นโรงเรียนแพทย์ก็ใช้อาจารย์แพทย์จากอังกฤษโดยตรง อย่างที่เห็นชัดชัดเนี่ยแชมป์ฟุตบอลซีเกมส์ที่เราภูมิใจถ้าจำไม่ผิดเนี่ยพม่าเป็นชาติแรกมั้งครับที่ได้แชมป์ 6หรือ7 สมัยซ้อนๆกัน (ต้องขออภัยที่จำไม่ได้ว่าอ่านที่ไหนมา พอถามน้องกู น้องก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วบอกว่าขอมูลหามาให้ตามนั้น ถ้ามีเวลาลองเปลี่ยนคีย์เวิร์ดละกันอาจจะหาเจอ) สำหรับแม่แล้ว ไม่รู้จะโชคดีหรือโชคร้ายกันกันแน่ ก่อนที่จะเรียนในโรงเรียนแพทย์ สมัยเด็กๆน่าจะ9ขวบเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นทำให้แม่ต้องทิ้งสมบัติเค้า บอกว่าเค้าเคยมีทับทิมก้อนประมาณกำปั้น แต่ต้องทิ้งทรัพย์สมบัติไปเพื่อหนีเอาชีวิตรอด แต่ก็ยังหอบทองไป กองหนึ่งเหมือนกัน (อืมเสียดายอ่ะ) หนีไปเรียนมัธยมที่อินเดียเพราะมีญาติที่นั่น ก็เลยทำให้เค้าค่อนข้างจะแข็งเรื่องภาษาอังกฤษ ก็ไม่แปลกหรอกครับที่ปัจจุบันที่จะเห็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษในบ้านเราตามมหาวิทยาลัยทั้งเอกชนและของรัฐเป็นคนพม่า อย่างที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สมัยปี 40 ซึ่งเป็นปีที่ผมต้องเผชิญหน้ากับภาษาอังกฤษกับคนต่างชาติจริงๆ ก็มีอาจารย์ชาวพม่า( แต่ผมไม่ได้เรียนด้วยครับเห็นเพื่อนบอกว่าสำเนียงฟังง่ายกว่าพวกอังกฤษนิดหนึ่ง ชื่อหม่องๆ ไรซักอย่าง) หรืออย่างคนที่รู้จักของคนรู้จักถ้า(เปิดเผยนามไม่ได้) จำไม่ผิดก็เซนต์จอร์นหรือหอการค้านี่แหล่ะครับ ไม่รู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือยังเพราะไม่ได้ข่าวหลายปีดีดักแล้ว ก็หลังจากกลับจากอินเดียก็สอบเข้าโรงเรียนแพทย์ เมื่อจบแล้วเริ่มทำงานในโรงพยาบาล แต่ด้วยรับไม่ได้ที่เห็นคนจนๆเข้าการรักษาเลยหมดตังค์ตัวเองไปเยอะแต่เรื่องที่ต้องหันเหชีวิตก็คือ ขณะคืนหนึ่งที่ เข้าเวร มีคนไข้หญิงคนหนึ่ง เจ็บป่วยมา แล้วร้องโหยหวนลั่นโรงพยาบาลเมื่อแกมาถึง คนไข้โผกอดแกว่า ” หมอช่วยฉันด้วย ฉันยังไม่อยากตาย” และแล้ว เค้าก็เสียชีวิตคาอกของแม่ แม่จึงหันขออาไปทำงานทางด้าน แบคทีเรียซึ่งทำให้แม่ไปเรียนโทที่แมนเชสเตอร์ (เป็นผม ผมขอไปลิเวอร์พูลดีกว่า) ทั้งๆที่ อาที่เป็นผู้อำนวยการเสียดายเพราะแม่เค้าเป็นหมอที่ศัลย์ที่ค่อนข้างจะเก่ง ก็นั่นแหล่ะครับ เลยทำให้ด้วยอายุ เจ็ดสิบกว่าปี แต่ต้องตลอน ไปหลายๆประเทศ กว่าครึ่งชิวิต เพื่อเรียนรู้เรื่องการแพทย์ ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส กลับประเทศ แต่ก็นั่นแหล่ะครับด้วยจิตใจที่ดีงามของแม่ทำให้ต้องระเห็ดมาอยู่ประเทศไทยกว่า สิบปี เพราะสงคราม ภายใจของเค้าซึ่งแม่ไปเกี่ยวข้องโดยบังเอิญ

———————————————————-จบครับ——————————————–

0000 วกกลับ มาถึงเรื่องหนังกันต่อครับ สาเหตุที่เริ่มต้นด้วยเรื่องสั้นๆ ของแม่น่ะหรอครับมันมีเรื่องเกี่ยวกันนิดนึง คือเรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งผมได้เช่าหนังเรื่อง The Pianist มาดู และชอบมาก เลยกะจะมาเล่าให้เค้าฟัง เพราะผมอยากจะฝึกภาษาอังกฤษกับเค้าเยอะๆน่ะครับ มาถึงปุ๊ปก็คุยกับแม่ ( พูดเอาให้รู้เรื่องไว้ก่อน ไม่เน้นไวยกรณ์ 55)

0000 Bluesprince : Yesterday I rented the a very nice movie, from Tsutaya.
0000 Dr. MM : Oh really?. What the name of movie?
0000 Bluesprince : The pianist (เดอะ เพียนิส, ซึ่งเราคนไทย เห็น Pia จะออกเสียงเสียงเป็นสระเอีย)
0000 Dr. MM : What?(เสียงตกใจมาก). The penist ( เดอะพีนิส), Oh No. What about the movie, why the name so funny like this (แต่สายตาของแกมีเลศนัย เหมือนจะรู้แล้วว่าหนังเรื่องอะไรแต่แกคงอยากจะลองให้ผมอธิบายต่อ).
0000 Bluesprince : Yes..(ยังคงคิดว่าเป็นคำเดียวกับที่พูดไป จึงเล่าด้วยความภาคภูมิใจ) The movie about the suffering of a genius pianist during world war II, he is Jewish and lived in Warsaw, the capital city of Poland. After German solder start the war, kill many people so he had try to safe his life from the enemy. Finally one army captain give him a food and freedom, all most changed with piano solo show.
0000 Dr. MM : แม่ยิ้มแก้มตุ่ยแล้วตอบมาว่า Oh, boy you speak wrong. You have to say, The pianist not pianist ( ต้องออกเสียง เพียเนียส ไม่ใช่ เพียนิส ซึ่งฟังดูแล้วจะคล้ายๆ กับคำว่า พีนีส ซึ่งแทนที่จะหมายถึง หนังเรื่องนักเปียโน กลับกลายเป็น หนังเรื่อง “ไอ้จู๋” แทนเสียนิ ) and I wanna say Thanks you for instruction of a nice movie. I already see this movie………………

: หมายเหตุ Bluesprince เป็นชื่อจากบล็อคเดิมครับ

ตุลาคม 13, 2008 Posted by | ผสมปนเป | 2 ความเห็น